บทที่ 1 แฟลตยูงทอง
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?” เกวลินบ่นเมื่อเห็นลานจอดรถของแฟลตยูงทองเต็มไปด้วยผู้คนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน แถมมีรถตำรวจอีกต่างหาก
กวาดตามองไม่เห็นแท็กซี่เขียวเหลืองที่คุ้นตาเลยเบาใจไปหน่อย อย่างน้อยพ่อก็คงไม่ได้ไปก่อปัญหาอะไรให้ตำรวจมาเล่นงานถึงบ้าน หากความอยากรู้ทำให้ต้องสะกิดแขนล่ำ ๆ ของป้าเจ้าของร้านขายข้าวแกงและอาหารตามสั่งใต้ถุนแฟลตที่ทิ้งร้านออกมายืนเล็งแลดูเหตุการณ์อยู่
“ป้า เกิดอะไรขึ้นตำรวจเขามาทำไม”
“อุ๊ย” ป้าแจ่มหรือแจ่มจรัสหันมาสะดุ้งจนตัวกระเพื่อม อาหารที่แกทำอร่อยทุกอย่าง แม่ครัวชิมทุกอย่าง ขนาดตัวแกเลยขยายขึ้น ๆ ตามอายุการทำงาน ป้าแจ่มอุทานว่า “หนูแก้มนี่เองมาเงียบ ๆ ตกใจหมด”
“ขวัญเอ๊ย ขวัญมา ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นป้า?”
“ไอ้พลน่ะสิ มันตายแล้ว มันผูกคอตาย”
“พลไหน สพลลูกน้าต๋อยน่ะหรือป้า?”
“รายนั้นแหละ มันผูกคอตายกับเหล็กดัดหน้าต่าง ที่แปลกมันแต่งตัวเป็นผู้หญิงด้วยนะ เห็นเขาว่าเอากระโปรงแม่มันมานุ่งหรือไงเนี่ยแหละ ข้าวของในห้องกระจุยกระจายหมด พิลึกนักเชียว”
เด็กสาวนิ่งไปอย่างคาดไม่ถึง
ไอ้พลหรือสพลเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบเอ็ดย่างสิบสอง อาศัยอยู่กับพ่อและญาติในแฟลตบีเหมือนกับเกวลิน แต่หล่อนอยู่ชั้นห้าเขาอยู่ชั้นสาม ตำรวจกั้นสถานที่ชั้นสามทั้งหมดอ้างว่าเก็บหลักฐานแต่ที่จริงคงกั้นความอยากรู้อยากเห็นของชาวแฟลตนี้ที่ออกจะมากเกินเหตุมากกว่า เด็กสาวขี้เกียจฝ่าไทยมุงที่อออยู่เต็มเข้าห้องพักเลยเลี่ยงไปร้านเกมส์และอินเตอร์เน็ตใต้ถุนแฟลตซีที่อยู่เยื้องแฟลตเกิดเหตุ
กลุ่มแฟลตนี้มีด้วยกันสี่ตึกตึกละ 6 ชั้นไม่รวมใต้ถุนสูง ทุกตึกหันหน้าเข้าหากันในรูปแบบสี่เหลี่ยม เพิ่มความเป็นส่วนตัวของห้องพักด้วยรางกระถางต้นไม้คอนกรีตซึ่งตอนนี้บางห้องยังปลูกดอกไม้สวยเหมือนเมื่อแฟลตเริ่มสร้าง แต่ส่วนใหญ่ตอนนี้รางวางกระถางกลายเป็นสวนครัว ปล่อยทิ้งไว้มีแต่ดินแห้ง ๆ หรือไม่ก็เอาไว้เป็นที่วางเศษขยะจากห้อง ตรงกลางเป็นลานจอดรถ สวนหย่อม สนามฟุตบอลและสนามเด็กเล่น ตอนเริ่มสร้างผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นคนระดับกลางหรือไม่ก็นักเรียนนักศึกษาจากต่างจังหวัดที่พอมีฐานะ แต่พอตึกเริ่มเก่า รอบด้านผุดอพาร์ตเมนท์หรือไม่ก็คอนโดมิเนียมสูง ๆ แบบ “มีระดับ” บริษัทเจ้าของแฟลตต้องลดราคาเช่าและระดับของผู้เช่าลง
ร้านเกมส์ไม่มีชื่อแต่กว้างขวางขนาดสองห้องเพราะได้รับแรงอุดหนุนอย่างดีจากเด็ก ๆ ชาวแฟลต
ตัวร้านแบ่งออกเป็นสองฝั่งระหว่างฝั่งเกมส์โซนที่กินเนื้อที่กว่าสองในสาม กับส่วนอินเตอร์เน็ตที่เปิดบริการให้หนุ่มสาวมาเสาะหาความรู้หรือเสาะหาคู่ ทั้งสองส่วนกั้นไว้ด้วยกระจกใสบานใหญ่
ขบูรสาวใหญ่วัยต้นสี่สิบหน้าตาแต่งพริ้งใส่สายเดี่ยวสีเหลืองลายดอกไม้สีม่วง โชว์เนื้อหนังที่มากมายใหญ่กว้างผิวเรียบเนียน หญิงสาวไม่ใช่คนอ้วนแต่ใหญ่หมดทั้งตัวแขนขาล่ำ หล่อนรีบกวักมือเรียกเมื่อเห็นเกวลินเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ด้านหลัง กั้นกระจกใสทำให้มองเห็นทุกอย่างในร้านได้สะดวก
“วันนี้ลูกค้าน้อยนะเจ๊” เด็กสาวเรียกขานตามที่หล่อนอยากได้ยิน
คนในแฟลตนี้ไม่ว่าว่าเด็กเล็กห้าหกขวบหรือแก่หง่อมวัยหกสิบเจ็ดสิบล้วนแต่ต้องเรียกขบูรว่าเจ๊ทั้งนั้น ใครเลยน้าเรียกป้าหล่อนโกรธเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่รู้จบ ยิ่งถ้าใครหาญเรียกยาย คนนั้นอาจจะตายก่อนวัยอันควรได้
“แหง๋ล่ะสิจ๊ะแม่คุณ ทุกคนแล่นไปชุมนุมดูตำรวจกันหมด แหม...อีตอนที่หวอมา ไอ้เด็กบ้ามันวิ่งหนีกันเกรียวแทบจะเหยียบกันตายคาประตูนึกว่าตำรวจมาจับร้านเกม เจ๊งี้ใจเต้นระทึก ตอนแรกก็กลัวตำรวจจับ แต่เห็นหน้าคุณตำรวจแล้วเจ๊อยากจับตำรวจแทน” สาวใหญ่พูดเจื้อยแจ้วตามนิสัย
ขบูรชอบหนุ่ม ๆ ยิ่งหนุ่ม ๆ ผอมบางผิดกับรูปร่างตัวเองหล่อนยิ่งชอบ ชอบมอง ชอบหลี ชอบเสนอตัวเข้าหา แต่คนถูกเสนอตัวเข้าหานี่สิ...หลบหลีกเนื้อตัวสั่นกันจ้าละหวั่น พวกหนุ่ม ๆ ปากหมาที่ชอบสิงสถิตย์อยู่ใต้ถุนแฟลตดีเคยปล่อยข่าวว่าเจ้าของร้านเน็ตเป็นนักยกน้ำหนักชายแปลงเพศมาบ้าง หรือไม่ก็เล่าว่าเมื่อสมัยสาว ๆ ขบูรเคยมีเรื่องขึ้นโรงพักกล่าวหาว่าถูกหนุ่มมอเตอร์ไซด์หน้าปากซอยล่อลวง แต่ตำรวจมองหนุ่มมอเตอร์ไซด์ร่างผอมบางกับสาวร่างน้อง ๆ นักมวยปล้ำแล้วตัดสินใจไม่รับฟ้อง
ข่าวนี้เล่นเอาขบูรเต้นผาง ประกาศว่า
‘อย่าให้รู้เชียวนะมึ๊งงงงงว่าใครปล่อยข่าว เจอตัวเมื่อไหร่ถ้าหล่อนักแม่จะหนีบมาทำผอสระอัวเสียให้เข็ด แต่ถ้าขี้เหร่เป็นจรกาแม่ก็จะตึ้บให้บี้เหมือนคางคกถูกรถทับแบนเชียว’
คำประกาศของขบูรได้ผล ไม่รู้ว่าสมาชิกปากหมากลัวอะไรมากกว่ากัน รู้แต่ว่าไม่มีใครหาญกล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไรสาวใหญ่รายนี้อีก
เกวลินเหลือบมองนาฬิกา เลยเวลาเลิกเรียนมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ไม่มีอะไรผิดกฎหมาย แต่คนที่ทำผิดประจำย่อมอดระแวงไม่ได้ ถึงไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตื่นไว้ก่อน เผ่นได้เป็นเผ่น
“ตำรวจเขามาร้านนี้ด้วยหรือเจ๊?”
“มาสิ” คนตอบว่าพลางค้อนควักไปทางตึกบี มือสาละวนปิดโฮมเพจตรงหน้า เกวลินเห็นแวบ ๆ ว่าภาพที่ปรากฏเป็นหนุ่มน้อยแทบจะนุ่งลมห่มฟ้า แต่หล่อนไม่ว่าอะไร รสนิยมใครรสนิยมมัน
“เขามาสอบปากคำเรื่องไอ้พล แก้มรู้เรื่องไอ้พลแล้วใช่ไหม?”
เด็กสาวพยักหน้า
“ใจหายเหมือนกันนะเจ๊ เพิ่งเห็นมันกวนบาทาอยู่หลัด ๆ เดี้ยงไปเสียแล้ว”
“นั่นสิ” ขบูรเท้าเอว ทำท่าเศร้าใจแบบเก๊ก ๆ หล่อนมักตั้งท่าให้งามตามอย่างที่ตัวเองคิดเสมอ ไม่สนเลยสักนิดว่าคนอื่นจะมองท่าเจ๊อย่างพะอืดพะอมเพียงใด “เจ๊น่ะคิดนะว่าหัวโจกใหญ่สร้างแต่ปัญหาอย่างไอ้พลเนี่ยมันอาจจะไม่ได้อยู่จนตะบันน้ำกิน แต่ก็ไม่นึกว่าไปไวเหมือนโกหกอย่างนี้ แถมยังตายโหงเสียด้วย แหม...ขนลุก...”
เกวลินพยักหน้าอีกครั้งเอาใจเจ๊ เด็กสาวไม่สนิทสนมอะไรกับผู้ตายนัก แต่พอรู้จักกันอยู่บ้าง จริง ๆ กลุ่มแฟลตเอถึงดีที่หล่อนอาศัยอยู่ถึงจะมีผู้พักร่วมหกร้อยคน หากส่วนใหญ่อยู่กันติดที่ ถ้าเป็นครอบครัวไม่ใช่หนุ่มสาวที่มาเช่าระหว่างจากบ้านต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือกรุงเทพฯมักจะพักกันเป็นปี ๆ เหตุเพราะกลุ่มแฟลตอยู่ค่อนข้างกลางเมือง คมนาคมสะดวก น้ำไฟโทรศัพท์ไม่เคยเป็นปัญหา ที่สำคัญค่าเช่าถูกอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังไม่ได้ขึ้นมาหลายปีแล้ว กระทั่งมีเสียงลือว่าจะมีการปรับค่าเช่ายกใหญ่เร็ว ๆ นี้
สพลนั้นเข้าข่ายอยู่เก่าอยู่นาน พ่อเขาหรือน้าต๋อยตามที่เกวลินเรียกเป็นยามที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เช้ามืดไปทำงาน กว่าจะกลับก็สี่ห้าโมงเย็น ถึงบ้านบ่อยครั้งที่ตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อนใต้ถุนแฟลต มึนแล้วร้องเพลงอารมณ์ดีแต่พอเมาแล้วร้องไห้คร่ำครวญเรื่องเมียทิ้งไปตั้งแต่สพลยังอายุแค่ห้าหกขวบ
เด็กขาดแม่ทำให้เกเรบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับก้าวร้าว ไม่มีทีท่าซึมเศร้า เลยแทบไม่น่าเชื่อว่าสพลจะผูก
คอตายขึ้นมา
“แล้วนี่ตำรวจมาสอบปากคำอะไรเจ๊ล่ะ” เกวลินถาม
“นิดหน่อย” ขบูรไม่สบตาด้วย “แค่ถามว่าไอ้พลมันมาเล่นเกมส์ที่นี่บ้างหรือเปล่า เขาอยากรู้ว่ามันชอบเล่นอะไรที่รุนแรงพวกตีรันฟันแทงฆ่ากันหรือเปล่า เจ๊ตอบไปว่า...นาน ๆ มันมาที”
“ให้การเท็จผิดกฎหมายนะเจ๊นะ” เด็กสาวแกล้งแหย่
เจ๊เลยกระแทกตัวนั่งกับเก้าอี้ ตะบึงตะบอนบอกว่า
“ขืนตอบไปตามความเป็นจริงเดี๋ยวต้องปิดกิจการกัน”
เกวลินอยากแซวต่อ แต่ขบูรพยักเพยิดไปทางหน้าร้าน ประกาศเสียงเสียดสีว่า
“แน่ะ ขวัญใจชาวแฟลตนวยนาดมานั่นแล้ว”
กระจกใสทำให้เห็นออกไปถึงหน้าร้าน ครองขวัญกำลังเดินมาตามทาง เด็กสาวอายุไล่ ๆ กับเกวลิน แก่เดือนกว่าสักสองสามเดือน อยู่แฟลตห้องติดกันชนิดทุบกำแพงเรียกหากันได้ คบหารู้จักกันมาประมาณหกปี แต่สองสาวต่างกันราวกับ...ไม่ถึงฟ้ากับเหว...เอาเป็นว่าต่างกันพอให้หลายคนซุบซิบนินทาเมื่อเดินคู่กันไปก็ได้
ซุบซิบแบบไหนนะหรือ?
ก็...ผู้หญิงสองคน คนหนึ่งตัดผมสั้นแนบหัว ผอมกล้องแกล้ง อีกคนผมยาวสยายเต็มหลัง
สวยหวานเสียจนได้รับการคัดเลือกเป็นดาวคณะทั้ง ๆ ที่เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐปีแรก
เด็กสาวหน้าขาวผ่อง สวมเสื้อเครื่องแบบขาวกระโปรงยาวไม่ได้ตรงเข้าร้าน แต่หยุดแวะนิดหนึ่งที่ข้างร้านเพื่อทักทายและซื้อมาลัยพวงเล็กจากนายใบ้ นายใบ้...ที่ไม่มีใครจดจำได้ว่าชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร รู้แต่ว่าเป็นสมาชิกในแฟลตซี อาศัยอยู่กับน้าสาวร่างยักษ์ที่วัยและขนาดข่มกันกับขบูรไม่ลง อายุนายใบ้ประมาณยี่สิบต้น ๆ หูไม่หนวกแค่พูดไม่ได้ วัน ๆ นั่งร้อยมาลัยขายข้างตึก วันไหนขายไม่ดีเขาก็กลายเป็นกระสอบทรายให้น้าสาวที่เอะอะขึ้นเสียงดังมึงมาพาโวยซ้อมเอา
คนในแฟลตส่วนใหญ่สงสารชายพิการ แต่ทำได้ก็แค่สงสาร จะให้อุดหนุนซื้อมาลัยนายใบ้ทุกวันคงไม่ไหว เพราะแค่ต่างคนต่างอยู่เลี้ยงตัวเองให้รอดไปวัน ๆ ก็หนักหนาพออยู่แล้ว ไม่มีเวลาหรือทุนทรัพย์ไปช่วยเหลือใครได้
ครองขวัญเป็นหนึ่งในน้อยคนที่ซื้อมาลัยเกือบทุกวัน เด็กสาวจ่ายเงินค่าพวงมาลัย นายใบ้ยิ้มกว้างถึงใบหู คว้ากระทงดอกจำปีเล็ก ๆ ส่งให้ชี้ไม้ชี้มือบอกว่าเขาให้ หล่อนกล่าวขอบใจก่อนเดินผลักประตูเข้ามาในร้าน
เจ้าของร้านมองแล้วค้อนขวับทีเดียว เปรยว่า
“เบื่อพวกรักเด็กเมตตาสัตว์และคนพิการเรียกคะแนนชื่นชม คงหวังตำแหน่งขวัญใจชาวแฟลตอีก
ปีล่ะซี่”
มีการโหวตแบบไม่ลับนักของบรรดาหนุ่ม ๆ ปากหมาประจำแฟลตเกี่ยวกับ ‘สาวโสด’ ที่อาศัยใน
กลุ่มตึกทั้งสี่ ครองขวัญได้ตำแหน่งขวัญใจชาวแฟลตมาอย่างง่ายดาย ขณะที่เกวลินไม่ติดฝุ่น แต่คนที่อกหักรุนแรงคือขบูร เจ๊งอนอยู่หลายวันที่ตัวเองพลาดตำแหน่งขวัญใจชาวแฟลตชนิดตามหลังเกวลินมาติด ๆ ขบูรปักใจเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าครองขวัญไม่ได้วางตัวดีอย่างนี้ หล่อนอาจจะมีสิทธิเพราะลงทุนควักกระเป๋าซื้อเสียงไปหลายอยู่
เกวลินเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเจ๊แล้วส่ายหน้าดิก คิดจะขยับจากตำแหน่งร้อยกว่า ๆ
ประมาณร้อยเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้ามาเป็นที่หนึ่งเนี่ยนะ ฝันไปหรือเปล่าเจ๊!
ครองขวัญผลักประตูเล็กเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมของมะลิและจำปี เด็กสาวเลิกคิ้วนิดเดียวเมื่อเห็น
ท่าทางสะบัดสะบิ้งของเจ้าของร้าน วางกระทงดอกไม้ลง เอ่ยลอย ๆ ว่า
“ให้เจ๊”
เจ๊หน้าเชิด ปั้นปึ่ง
“ของฟรีไม่อยากได้ล่ะสิถึงเอามาให้เจ๊”
ครองขวัญหยิบกระทงคืน แต่สาวใหญ่ไวกว่าคว้าจำปีดอกใหญ่ได้หนึ่งดอกเอามาพันกับผมแล้ว
ปล่อยให้ดอกไม้ทิ้งตัวละข้างแก้ม
เกวลินมองดูอย่างเพลิดเพลิน ‘เจ๊’ เป็นคนร่างใหญ่ทำให้ดูกระด้างดุดัน หน้าตาแต่งจัดจนดูเจนโลกและบางทีคล้ายสาวประเภทสองอย่างที่หลายคนค่อน แต่ในความเป็นขบูรยังมีความละเมียดละไมบางอย่างที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ใกล้ และมั่นใจได้ว่าหล่อนอยู่กับผู้หญิงจริง ๆ ไม่ใช่อยู่กับสาวประเภทสองที่ไหน
“ตำรวจกำลังจะกลับแล้ว เขาจะเอาศพไปไว้ที่โรงพยาบาลตำรวจ”
ครองขวัญนั่งลงอย่างเรียบร้อย สง่างาม ท่าทางเด็กสาวเหมือนลูกผู้ดีมากกว่าลูกนักการหญิงในสถานศึกษาแห่งหนึ่งซึ่งทำงานทุกอย่างเพื่อส่งเสียให้ลูกสาวคนเดียวได้เรียนสูงสุด และได้ทุกอย่างตามที่ต้องการเพื่อเทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง
“ใครเป็นคนพบศพขวัญรู้ไหม?” เกวลินถาม
อันที่จริงถามขบูรก็ได้ แต่รายนั้นเป็นประเภทแหล่งข่าวเยอะข้อมูลมาก ลงท้ายข้อมูลตีกันมั่ว ผลสรุปห่างไกลความจริงชนิดเจ้าตัวข่าวเองยังงงว่าต้นตอมันมาจากไหนกันแน่
ขวัญใจชาวแฟลตยิ้มนิดหนึ่งพองาม ตอบว่า
“เขาว่ากันว่าน้าต๋อยเป็นคนพบศพลูกชาย วันนี้แกรีบกลับมาเร็วเพราะนัดตั้งวงกับเพื่อน เปิดประตูเข้าไปเจอถึงกับเข่าอ่อน แกบอกตำรวจว่าไม่มีเค้ามาก่อนว่าลูกชายมีปัญหาและไม่มีเค้าว่าลูกชายจะมีความบิดเบือนทางเพศ”
“เจ๊ก็ว่าไม่ใช่ สองวันก่อนยังเห็นมันนำฝูงไอ้พวกเพื่อนหมื่นของมันแกล้งเปิดกระโปรงเด็กผู้หญิงอยู่เลย เจ๊ยังอยากเรียกทั้งมันและพ่อมันมาด่า เป็นเด็กเป็นเล็กคิดทะลึ่ง”
“งั้นทำไมพลต้องเอาเสื้อผ้าของแม่มาใส่ด้วย อยากจะประชดอะไรหรือเปล่า” เกวลินสงสัย
“ไม่ใช่เสื้อผ้าของแม่” ครองขวัญขัดขึ้นเรียบ ๆ “พลสวมกระโปรงชุดที่คนเขาเอามาถวายเจ้าแม่หน้าตึก”
“เวร” เกวลินพูดได้คำเดียว