บทที่ 1 ชมรมคนมีสัมผัสพิเศษแห่งประเทศไทย
“กี่ที่คะ ห้าที่ใช่ไหมคะ” พนักงานสาวของร้านสุกี้ชื่อดังถามกลุ่มคนที่นำโดยหนุ่มน้อยวัยประมาณสิบแปดสิบเก้า หน้าตาเกลี้ยงเกลา คิ้วเข้มคมตาเป็นประกายสดใส ก่อนหันหลังเดินนำเข้าไปในร้าน เลยไม่ได้เห็นบรรดาแขกสาว ๆ ตัวน้อยวัยไล่เลียงกันตั้งแต่สิบต้น ๆ จนถึงแปดขวบใช้ข้อศอกกระทุ้งกันพลางหัวเราะกันคิกคัก กระซิบกระซาบกันว่า
อีกแล้ว เห็นอีกแล้ว...
“พี่ธันต์ คนนี้ใช่ป่าว”
“ไม่” เด็กหนุ่มกัดฟันตอบ “แค่จังหวะเปิด หางตาเหลือบเห็นเท่านั้นอย่าเอะอะกันนักนะ ไม่งั้นพี่พากลับหมดจริง ๆ ด้วย”
“ว้า” มีเสียงร้องด้วยความเสียดายดังมาจากด้านหลัง
พนักงานสาวเลือกโต๊ะใหญ่ติดกับผนังร้านที่เป็นกระจกใสเห็นคนภายนอกเดินไปมาได้ชัดเจน หยุดรอให้บรรดาแขกตัวเล็กตัวน้อยเข้านั่งประจำที่ แต่ระหว่างวางเมนูหล่อนก็นิ่วหน้าไม่มั่นใจ
“เอ๊ะสี่ที่เท่านั้นหรือคะ เมื่อกี้เห็นมากันห้า” เพราะคิดว่ากลุ่มใหญ่หล่อนถึงจัดโต๊ะใหญ่ให้
“จัดไว้ห้าที่ก็ได้ครับ” นิทธันต์บอกอย่างสุภาพ โดยมีเสียงถอนใจอย่างผิดหวังของสาวน้อยทั้งหลายตามมา
“นึกว่าจะใช่” นิจฉราบ่นเมื่อเหลือกันเพียงตามลำพังที่โต๊ะ “พ่อบอกว่าวันนี้เราอาจจะได้สมาชิกใหม่”
“แค่อาจเท่านั้น แล้วถ้าจะเจอจริงก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เราอย่าไปเกี่ยวเลยดีกว่า”
ระหว่างนั้นอริสาสาวน้อยที่สุดในกลุ่มก็จ้องมองที่นั่งว่าง ๆ ข้างพี่ชายด้วยสายตาละห้อยโหยก่อนบ่น
“หนูอยากมีผีเป็นของตัวเองบ้างจัง”
“มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกนะยายน้องเล็ก” เด็กหนุ่มบอก ไม่สนใจกับสมาชิก ‘คนที่ห้า’ ซึ่งใคร ๆ นอกจากเขามองไม่เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังพยายามหยิกตีเขาอย่างดุเดือดด้วยความไม่พอใจ
‘มีฉันอยู่ด้วยมันไม่ดียังไง’ เจ้าหล่อนพยายามจะกรีดเสียงใส่รูหูเขา ‘แล้วบอกน้องนายด้วยนะว่า ฉันไม่ใช่ผี แต่เป็นวิญญาณสาวแสนสวยที่น่าสงสาร’
น่าสงสารตายล่ะ ตอนมีชีวิตอยู่ร้ายแค่ไหน ตอนตายนึกว่าจะดีขึ้นแต่กลับร้ายกาจขึ้นอีกเป็นเท่าทวี เพราะเจ้าหล่อนไม่ต้องปั้นหน้าแสดงตัวเป็นสาวแสนดีหลอกหนุ่ม ๆ อีกต่อไป เฮ้อ กรรมเวรอะไรของเขาอย่างนี้ไม่รู้ที่ต้องมาติดแหง็กกับหล่อนแบบนี้
“คุณลุงฌานไม่เคยพลาด วันนี้เราน่าจะได้สมาชิกใหม่” นัทชาเอ่ยขึ้นบ้าง หล่อนเป็น
สาวน้อยวัยสิบสอง แต่มีท่าทางเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังเกินวัยมาก
บรรดาผู้ใหญ่ในชมรมเชื่อว่าเด็กหญิงต้องเคยผ่านประสบการณ์ร้าย ๆ ในชีวิตมามากก่อนที่พ่อแม่ของนิทธันต์จะรับหล่อนเป็นลูกบุญธรรม แต่นัทชาไม่เคยเล่า ไม่เคยมีใครรู้ประวัติหล่อน รู้แต่ว่าวันหนึ่งในวันที่ฝนตกหนักมีคนเอาเด็กหญิงวัยประมาณห้าหรือหกขวบมาทิ้งไว้หน้าสถานสงเคราะห์ หล่อนไม่พูดไม่จาไม่ยิ้มแย้มหรือมีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ จนกระทั่งทุกคนคิดว่าเด็กหญิงเป็นใบ้หูหนวก แถมแม่หนูไม่มีเอกสารใด ๆ ติดตัวมาเลย ไม่มีชื่อ ไม่ปรากฏพ่อแม่ผู้ปกครอง ทางเจ้าหน้าที่จึงเรียกหนูน้อยว่า หนูฝน กระทั่งไนยชนพาครอบครัวไปทำบุญวันเกิดให้นิทธันต์ลูกชายด้วยการเลี้ยงอาหารเด็กที่สถานสงเคราะห์
นัทชาเอาแต่จ้องคนทั้งกลุ่มตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อทั้งหมดกำลังจะกลับ เด็กหญิงก็ลุกเดินตรงมาหาคนทั้งหมด แม่หนูผอมบางตัวเล็กนิดเดียวไม่แม้แต่จะขยับปากแต่ในหัวของแทบทุกคนได้ยินเสียงหล่อนชัดเจน
‘ให้หนูไปด้วยได้ไหม หนูไม่อยากอยู่ที่นี่’
ธัญญารัตน์อ้าแขนออกรับทันที
ไม่นานจากนั้นเด็กหญิงที่มากับสายฝนก็กลายมาเป็นนัทชา สมาชิกใหม่ของครอบครัวและชมรม หล่อนไม่ชอบชื่อฝน ไนยชนพ่อใหม่ของหล่อนจึงเปลี่ยนให้เป็นน้ำ เพื่อสอดคล้องกับชื่อจริง ร่วมปีกว่าหล่อนจะเอ่ยปากพูดจริง ๆ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะมีการเอ่ยเล่าเรื่องของอดีต บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ไม่ซักไม่ถาม ทั้งหมดจึงไม่รู้ประวัติอะไรเด็กหญิงเลย รู้แต่ว่าหล่อนเป็นคนที่มีพลังจิตค่อนข้างแข็ง อาจจะสูงพอ ๆ กับผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยทีเดียว และมีความพิเศษในตัวหลายด้าน
บ่อยครั้งที่นิทธันต์เชื่อว่านัทชาเห็นวิญญาณสาวที่ติดสอยห้อยตามเขาอยู่ แต่เด็กหญิงก็ไม่เคยพูดออกมาตรง ๆ และเขาก็เหมือนพ่อแม่ลุงป้า...ที่ไม่ถาม เชื่อว่าถ้าน้องอยากบอกอยากเล่าหล่อนก็คงเล่าออกมาเอง
“ใช่ พ่อพูดอะไรเป็นอย่างนั้นทุกอย่างเลย ดูอย่างที่พ่อว่าพี่ธันต์จะเรียนไม่จบสิ เห็นไหมเรียนได้ไม่ทันไรเลยออกเสียแล้ว” นิจฉรายืนยัน
“เฮ้ย ๆ นั่นเพราะพี่จะออกไปเรียนตำรวจ จบตำรวจก็ถือว่าเรียนจบเหมือนกัน”
“ตำรวจดีกว่านักธุรกิจหรือพี่ธันต์ นิดเห็นในละครพระเอกเป็นนักธุรกิจรวย ๆ ขับรถหรูทั้งนั้น”
“นั่นมันละคร” หนุ่มคนเดียวในหมู่สาวถอนใจ “แล้วใครให้เด็กอย่างเราดูละครกัน แอบป้าตุ๊กดูใช่ไหม ระวังเถอะพูดมากพี่จะบอกพ่อแม่เรา เอาล่ะกินซะ ถ้าไม่วุ่นวายกันมากทำตัวเรียบร้อยเป็นเด็กดี เดี๋ยวกินสุกี้เสร็จ พี่จะเลี้ยงไอติมคนละถ้วย”
สาว ๆ กรี๊ดกร๊าดดีใจกันใหญ่ นิทธันต์ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงกับเด็ก ๆ ทำไมถึงได้คลั่งไคล้
ไอศกรีมกันนัก ขนาดนัทชาที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยแสดงความรู้สึกยังยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย หรือแม้กระทั่งแม่ผีสาวข้างตัวเขายังถอนใจละห้อย
‘ฉันก็อยากกินไอศครีมเหมือนกัน’ แล้วเจ้าหล่อนก็บรรยายชื่อมาแบบหรูหราราคาสูง ชนิดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งนั้น ก่อนตบท้ายว่า ‘นี่นาย ดีลิเวอร์ลี่ให้หน่อยสิ’
“เอาไอติมตักบาตรไม่ได้หรอก ละลายหมด” เด็กหนุ่มแย้ง จากสายตาคนภายนอก
มันไม่ต่างจากจู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาลอย ๆ
แต่น้อง ๆ ของเขาชินเสียแล้ว เลยไม่ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเหมือนอยู่กับเพื่อนฝูงหรือคนแปลกหน้า บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาชอบไปไหนมาไหนกับครอบครัวหรือกับน้อง ๆ
ผู้หญิงกลุ่มใหญ่มากกว่าจะไปเตร็ดเตร่กับเพื่อนฝูง
‘ก็ใครเขาโง่งี่เง่าแบบนายเอาไอศรีมใส่บาตรกันล่ะ” หล่อนทำหน้าหยามเหยียดใส่เขา ‘ไปถวายที่วัดตอนฉันเพลสิ เลือกเอาตอนท่านฉันเสร็จพอดี เอาไปหลาย ๆ รสเลยนะ ฉันจะได้เลือกได้ว่าอยากกินรสไหนเป็นพิเศษ’
“ถ้าว่างจะไปให้” เขายอมอ่อนข้อให้หากมีข้อแม้ว่า “แต่ต้องเป็นไอติมกรวย ๆ สามรสนะ ช็อกโกแล็ต สตอเบอรี่ วนิลา มีปัญญาซื้อถวายพระแค่นี้แหละ ไอ้รสพาลงพาลีน บานอฟฟี่ ทอฟฟี่กุ๊กกิ๊กอะไรที่เธอว่ามา ฉันซื้อไม่ไหว กระเป๋าฉีกพอดี”
‘ขี้เหนียว เบื่อจริง ๆ ทำไมฉันต้องมาติดอยู่กับคนงี่เง่าอย่างนายด้วยก็ไม่รู้’
“นี่เธอ คนที่ควรจะบ่นน่าจะเป็นฉันมากกว่านะ ถ้าฉันมันแย่นักทำไมไม่ไปหาแฟนที่รวย ๆ ของเธอล่ะ เขาคงจะทำบุญรถสปอร์ต กับบ้านพร้อมที่ดินไปให้เธอได้หรอก รักกันนักหนาไม่ใช่หรือ”
ได้ผล วิญญาณสาวนิ่งไปทันที เพราะเมื่อหล่อนตายนั้นหนุ่มรุ่นพี่ร่ำรวยฟู่ฟ่าที่คบหากันอยู่เหมือนไม่ได้แสดงความโศกเศร้าเสียใจอะไรเลย ขนาดงานศพเขายังไม่ไป แค่ส่งพวงหรีดไปให้เท่านั้น โดยอ้างว่า ปีนี้เป็นปีชงของเขา อาม่าสั่งห้ามไม่ให้ไปงานศพเด็ดขาด ดังนั้นแม้จะสนิทสนมรักใคร่ปานใด ฝ่ายชายก็ไม่เคยปรากฏตัวที่งานศพเลย
จากนั้นไม่ถึงเดือนผู้ชายก็ร่อนไปทั่วมหาวิทยาลัยกับสาวน้อยหน้าแฉล้มคนใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่อื่นไกล...เพื่อนสนิทแม่วิญญาณสาวข้างตัวเขานี่เอง
เล่นเอาเจ้าหล่อนกรีดร้องตีโพยตีพายจะเป็นจะตาย...อ้อ...ไม่ใช่สิ...ตายแล้วนี่นา เอาเป็นว่าช่วงนั้นนิทธันต์แทบเป็นบ้าจากการอาละวาดและการร้องไห้กระอืด ๆ ของเจ้าหล่อนอยู่เป็นเดือน
พอเวลาผ่านไปครึ่งปีและชายหนุ่มลาออกจากมหาวิทยาลัย ห่างหูห่างตากันไปวิญญาณสาวก็พอจะทำใจได้ หล่อนจะอาละวาดก็ตอนที่ตามเขาไปมหาวิทยาลัยแล้วเกิดดวงซวยหมอนั่นกับแฟนใหม่โฉบมาใกล้ ๆ เท่านั้น หรือไม่ก็อย่างตอนนี้ที่เขาแทงใจดำหล่อน
‘ทุเรศ บ้าที่สุดผู้ชายเส็งเคร็ง เห็นคนล้มแล้วกระทืบซ้ำ ปากหมา สกปรกซกมก’ ก่อนจะลงท้ายด้วยการคร่ำครวญว่า ‘นี่ฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้นะถึงต้องมาผูกติดอยู่กับนาย’
“อันนี้น่าจะเป็นฉันพูดมากกว่านะ” เด็กหนุ่มบอกลอย ๆ ก่อนเริ่มสั่งอาหารท่ามกลางเสียงกรีดร้องแบบร้านแตกของวิญญาณสาวข้าง ๆ