Read for fun by สำนักพิมพ์ลูกองุ่น
สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ครั้งหนึ่งในชีวิตของธีรัตม์

ครั้งหนึ่งในชีวิตของธีรัตม์

ครั้งหนึ่งในชีวิตของธีรัตม์

 

          ธีรัตม์เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่มีความพิเศษสุด  ทุกคนในครอบครัวของเขาล้วนแต่มีพรสวรรค์พิเศษเหนือคนปกติธรรมดาทั่วไป  พรสวรรค์นี้สืบทอดมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่สมัยต้นตระกูล

          ปลั่ง...คุณปู่ของเขาเคยเล่าว่า  ความพิเศษของครอบครัวนี้นั้นโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยศรีอยุธยา  บรรพบุรุษหลายรับราชการด้วยการเป็นแม่ทัพใหญ่บ้าง  โหรประจำราชสำนักบ้าง  สุดแล้วแต่ใครจะมีพรสวรรค์ในด้านไหน  แต่น่าเสียดายที่ช่วงหนึ่งสังคมมองว่าผู้ที่มีความพิเศษเหนือคนอื่นคือพวกเล่นคุณไสย  หรือเป็นพวกหมอผีไม่น่าไว้ใจ  บรรพบุรุษของพวกเขาจึงต้องหลบซ่อนพลังนั้นไว้

          สมาชิกส่วนใหญ่หลายคนมองว่าการมีสัมผัสพิเศษคือเรื่องต้องคำสาป  โดยเฉพาะพวกที่สามารถอ่านใจผู้คนได้บางครั้งถึงกับเป็นบ้ารับไม่ได้กับการที่ต้องรู้ว่า  คนที่รักใคร่หรือผู้ใกล้ชิดไม่ได้มีความจริงใจหรือรักใคร่เขาตอบแม้แต่น้อย

          สมาชิกตระกูลคนหนึ่งก็ปากเบาไปกล่าวถึงอดีตและทักทายอนาคตของผู้มีอำนาจในแง่ไม่งามนัก 

          สุดท้ายทั้งครอบครัวต้องหนีภัยอำนาจหัวซุกหัวซุน

          คนในสายตระกูลส่วนใหญ่จึงเริ่มรังเกียจพลังอำนาจของตัวเอง  ส่วนใหญ่เริ่มหาทางกดหรือทำลายสิ่งที่อยู่ในสายเลือดตัวเองเสีย  หลายรายเลือกคู่ครองที่เป็นคนธรรมดาอย่างที่สุดด้วยความหวังว่า  สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นคำสาปจะไม่ต้องตกทอดไปยังลูกหลาน

          แต่พรสวรรค์ยังคงแอบแฝงอยู่ในสายเลือดมาตลอด  และโชคดีที่มันมาปรากฏขึ้นกับคุณปู่ของเขาผู้ซึ่งไม่เห็นว่าพรสวรรค์เหล่านั้นเป็นเรื่องโชคร้าย

          “แค่ปิดมันไว้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ”  ปู่ปลั่งบอกอย่างอารมณ์ดี

          ปู่เป็นคนเดียวในตระกูลที่พยายามสรรหาภรรยาที่มีความเหมือนกับตัวเองมากที่สุด  และก็สมใจได้แต่งงานกับสตรีที่มีพรสวรรค์ยากจะหาใครเทียบ

          โชคไม่ดีที่ปู่มีทายาทเพียงคนเดียวคือพ่อของเขา

          พ่อดำเนินรอยตามปู่  ดังนั้นกว่าจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมเจออายุอานามพ่อก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว  ส่วนแม่นั้นสามสิบเศษ  โชคยังดีที่พ่อและแม่เขาสามารถมีทายาทสืบทอดสัมผัสพิเศษได้ถึงสามคน  แต่โชคร้ายที่ลูกชายคนที่สามของพ่อได้ส่วนแบ่งทางสายเลือดมานิดเดียว

          ธีรัตม์ไม่เคยมีสังหรณ์แม่นยำและเอ่ยถึงอนาคตได้อย่างแจ่มชัดเหมือนพี่ชายคนโต

          เขาไม่เคยปราดเปรื่อง  และมีอำนาจในการขยับข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อย่างพี่ชายคน

รอง

          ธีรัตม์ได้แต่พยากรณ์อากาศไปวัน ๆ  ว่าวันนี้จะมีฝน  วันนี้จะมีแดด  แถมยังเป็นการพยากรณ์แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย

        ชายหนุ่มมั่นใจว่าปัญหาอาจจะเป็นเพราะเขาเกิดทีหลังพี่ชายทั้งสองร่วมสิบห้าปี  พ่อกับแม่จึงให้พรสวรรค์พี่ชายไปหมด  เหลือทิ้งให้ลูกหลงอย่างเขานิดเดียวเท่านั้น

          เขามักจะบ่นน้อยใจเรื่องนี้เสมอ  แต่พ่อกับแม่และพี่ชายสองคนไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร  ทั้งหมดเชื่อว่าพรสวรรค์ของเขาก็ต้องมีอะไรพิเศษในอนาคต  ส่วนตอนนี้ก็ต้องถือว่าสัมผัสพิเศษเขาดีเหมือนกันเพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเป็นหวัด  ไม่เคยเป็นลมแดดหรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วยตามฤดูกาสเหมือนเด็กคนอื่น ๆ 

          เด็กชายธีรัตม์วันนั้นกระทั่งเป็นชายหนุ่มวันนี้กลับค้อนขวับ  คิดว่ามันเป็นปมด้อยใหญ่โต  เขาเชื่อว่าพรสวรรค์อันน้อยนิดทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าที่ควร

          เขาไม่เคยทำงานอะไรสำเร็จหรืออยู่ได้นานเกินหนึ่งปีหกเดือน  เป็นคนหยิบโหย่งล้มเหลวตลอดในขณะที่พี่ชายทั้งสองเป็นที่เชิดหน้าชูตาของครอบครัวและวงสังคม  

          เขาไม่เก่งเหมือนพี่ชายทั้งสองคน

          เมื่อพี่ชายทั้งสองคนแต่งงาน  และเริ่มมีหลาน ๆ ให้เขา  ความสามารถพิเศษของหลาน ๆ ก็ยังโดดเด่นกว่าเขาทั้งหมด

          ว่าไปแล้วในบรรดาหลานทั้งหมดทั้งหลานจริงและหลานบุญธรรม  ธีรัตม์อิจฉานิทธันต์ที่สุด 

          บอกตามตรงเขาไม่อยากจำอะไรได้แม่นอย่างนิจฉรา  เพราะสมองคนเรามีแค่นี้จะไปจำอะไรมากนักหนาไปทำไม  อีกอย่างการรู้ว่าใครพูดจริงใครพูดโกหกก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร 

รู้ ๆ อยู่ว่าคนส่วนใหญ่โกหกอยู่แล้ว  นี่ถ้าเขามีพรสวรรค์เหมือนหลานสาวคนโตแล้วเกิดจับพลัดจับผลูได้ดิบได้ดีไปนั่งอยู่ในสภาหินอ่อนของประเทศ  มีหวังเขาได้ลงนอนดิ้นพราด ๆ ชักดิ้นชักงอเพราะเสียง ‘โกหก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ’ ก้องเต็มสองรูหูแน่  สู้ไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่า

          ส่วนนัทชานั้นรู้ว่าใครเจ็บป่วยใครจะตายจากกลิ่น  โหย...ขืนมาได้กลิ่นอะไรประหลาด ๆ แบบนี้ทุกวี่ทุกวัน  เขาคงได้ตายก่อนใครเพื่อนแน่  ไม่เอาล่ะ

          สุดท้ายก็อริสา  หลานคนเล็กที่แสนจะสดใสร่าเริง  ตอนเล็ก ๆ หล่อนคุยกับสัตว์น้อยใหญ่ได้  แต่ถามหน่อยเถอะ  ใครจะไปอยากรู้ว่าหมามันคุยอะไรกัน  อย่างมากก็คงคุยอวดกันว่าวันนี้ใครกัดหมัดได้มากกว่ากัน  หรือวันนี้งับหางตัวเองได้กี่รอบแล้ว  เรื่องพวกนี้เขาจะอยากรู้ไปทำไม  รู้ไปแล้วทำอะไรได้มิทราบ  พรสวรรค์อีกอย่างของน้องเล็กที่แสนจะไม่เข้าท่าคือทำให้คนรอบข้างรู้สึกมีความสุข

          พิลึกตายล่ะ  ทำให้คนอื่นมีความสุข  แล้วตัวเองล่ะ  ถ้าจะเลือกเขาเลือกดึงความสุขให้ตัวเองดีกว่าทำให้คนอื่นมีความสุข

          ดังนั้นพรสวรรค์หรือสัมผัสพิเศษของนิทธันต์จึงเป็นอย่างเดียวที่ชายหนุ่มโหยหามากที่สุด  ธีรัตม์มีวิญญาณของความผจญภัยในตัวสูง  เขาอยากรู้อยากเห็น  อยากสัมผัสถึงอีกฟากของโลก

แห่งชีวิต  อยากรู้สึกถึงอาการหนาวเยือกที่ไต่ขึ้นมาตามสันหลัง  ขนที่ลุกชันขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ 

อยากเห็นอะไรที่ทำให้หัวใจสูบฉีดแรง  หรือรู้สึกเป็นคนพิเศษที่สามารถมองเห็นและสื่อสารกับสิ่งที่คนอื่นหวาดหวั่น

          ใช่  เขาไม่กลัวผี  ชายหนุ่มเรียกร้องหามันด้วยซ้ำ  แต่ไม่เคยมีผีตัวไหนปรากฏตัวให้เขาเห็นเลย 

          ไม่เคยเลยยกเว้นครั้งหนึ่งในชีวิต  ครั้งเดียวที่เขาไม่มีวันลืม  ครั้งเดียวที่สร้างความเจ็บใจให้เขาเหลือแสนขนาดว่าคิดขึ้นมาทีไรก็อยากจะเอาหัวโขกกำแพงทีนั้น (แต่ไม่ทำเพราะมันเจ็บตัว)

          ตอนนั้นเขายังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ทำงานเป็นสจ๊วตสายการบินชั้นนำของประเทศ  ทำงานมาหนึ่งปีห้าเดือนยี่สิบวันเรียกว่านานที่สุดเท่าที่เคยทำมา  แต่เช่นเคยเขาบินไปบินมาจนชักเริ่มเบื่อและยื่นใบลาออกไว้เรียบร้อยแล้ว  เที่ยวบินสุดท้ายของชายหนุ่มคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์  โรงแรมที่สายการบินทำสัญญาให้ลูกเรือพักเป็นโรงแรมขนาดเล็ก  เก่าแก่แต่สะดวกสบายกลางใจเมือง 

          เจ้าของและผู้ก่อตั้งโรงแรมคนแรกเมื่อประมาณแปดสิบปีก่อนเป็นแม่ม่าย  ชื่อโรซาลีนน์หรืออะไรสักอย่างธีรัตม์ก็จำไม่ได้แล้ว  รู้เพียงแต่ว่าพนักงานและแขกที่มาพักจะเรียกเธออย่างเคารพแกมหวั่นว่า มาดาม 

          ในโรงแรมมีภาพของมาดามในห้องล็อบบี้  หญิงม่ายวัยประมาณห้าสิบแต่งตัวในยุคสมัยนั้น  คือเสื้อผ้ารุ่มร่ามสีน้ำเงินเข้ม  ประดับประดาไปด้วยลูกไม้และดอกไม้  ใบหน้าของมาดามที่ไม่ได้สวยเด่นเป็นพิเศษอะไรแสดงออกถึงความเป็นคนดุ  เด็ดเดี่ยว  ไม่ยิ้มแย้ม  ดวงตาจ้องออกมาเหมือนจะจับตามองผู้คนที่ผ่านเข้าออกโรงแรมของหล่อน

          และเหมือนกับชาวสวิตที่ดี  มาดามขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเป็นคนมัธยัสต์  มีเสียงเล่าลือปากต่อปากในหมู่พนักงาน  แขกและบรรดาลูกเรือที่มาพักว่า  มาดามนั้นเกลียดพวกไม่รู้จักประหยัดเป็นที่สุด  ถ้าใครเข้าพักแล้วเกิดลืมเปิดน้ำหรือเปิดไฟทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น  มักจะเจอ

มาดามมาเตือนอย่างเฉียบขาดเสมอ  มีทั้งดึงผ้าห่มออก  เห็นเป็นรูปเป็นร่าง  หรือแม้แต่ไฟปิด

เองโดยไม่มีใครไปยุ่งกับสวิตซ์

          ธีรัตม์เคยมาพักที่นี่แล้วสามสี่ครั้ง  ครั้งแรกที่ได้ยินกิตติศัพท์มาดามเขาก็หมายมั่นปั้นมือเต็มที่  ถึงขนาดเปิดไฟไว้ก่อนนอน  แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาไฟถูกปิดเรียบร้อยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาก็ได้แต่บ่น

          “แค่เนี้ยนะมาดาม  เฮ้อ...พยายามมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง”

          เขาลองพยายามอีกครั้งแต่ผลเหมือนเดิม  เลยถอดใจ  ไปครั้งหลัง ๆ ก็ปิดไฟนอนตามปกติโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          กระทั่งเที่ยวบินสุดท้าย  พอเช็คอินเข้าโรงแรมเรียบร้อย  เพื่อนแอร์และสจ๊วตก็มาดึงตัว

เขาไปเลี้ยงอำลากันในผับแถว ๆ นั้น  ธีรัตม์ทั้งดื่มทั้งเต้นจนแทบจะเรียกได้ว่าหมดสภาพ  ชายหนุ่มเปะปะกลับมาที่ห้อง  เหนื่อยจากทั้งการทำงานและการเลี้ยงอำลาจนไม่มีปัญญาลากสังขารเข้าห้องน้ำ  เขาแค่เปิดห้อง  เปิดไฟ  ถอดรองเท้า  ขึ้นเตียงแล้วหลับไปในทันที

          มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนใกล้สว่าง  เขาพลิกตัวตะแคงอีกด้านเพราะเผลอนอนทับแขนตัวเองจนชา  ขณะที่พยายามขยับตัวให้สบายชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น  สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือใบหน้าขาวซีด  แตกลายงากับดวงตาที่ถลึงมองเขาอย่างดุเดือด

          มาดามมานอนหนุนหมอนข้าง ๆ เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

          ชายหนุ่มพยายามคิด...คิดอะไรวะ...คิดไม่ออก...

          เขาเลยหาวหวอดหนึ่ง  ความง่วงและมึน ๆ แอลกอฮอล์ทำให้ทำได้แต่เพียงทักเป็นภาษาอังกฤษอันงดงามว่า

          “ฮัลโหล มาดาม”

          มาดามถลึงตาตอบ  ไม่แม้แต่จะเซย์ฮัลโหล 

          เขาง่วง  ตาจะปิดลงอีกครั้งแล้ว  แต่ยังฝืนลืมขึ้นด้วยความเป็นห่วง...แถมตอนนั้นเขากำลังจะออกจากงานไปทำธุรกิจขายตรงเครื่องสำอางบำรุงผิว  จากที่ได้รับการอบรมมาจึงต้องเตือนว่า

          “มาดามหน้าซีดไปหน่อยนะครับ  ผิวก็แห้งแตก  ก่อนนอนอย่าลืมหาครีมทาหนาดี ๆ ทา  ผมรู้ว่ามาดามขี้เหนียว  แต่เรื่องความสวยความงามถือว่าสำคัญสำหรับผู้หญิงนะครับ  เหนียวแล้วหน้าเหี่ยวย่นต้องเป็นม่ายค้างเติ่งอยู่อย่างนี้จะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะครับ”

          ชายหนุ่มฝืนไม่ไหว  ตาปิด  กรนคร่อกเลยด้วยซ้ำ

          เช้านั้นบรรดาพนักงานและแขกข้าง ๆ ห้องธีรัตม์ตกอกตกใจกับเสียงกรีดร้องของชายหนุ่ม  เสมียนข้างล่างถึงกับทำเครื่องหมายกางเขนก่อนจะรีบรุดไปดูแขกที่คาดว่าคงขวัญผวา

สุดขีดกับการเยี่ยมเยือนของมาดาม

          ที่ไหนได้...แขกดังกล่าวกลับกำลังตีอกชกหัวฟูมฟายด้วยความเสียดาย  เขาอ้อนวอนว่า

          “มาดามครับกลับมาหาผมเถอะ  ผมจะไม่วิจารณ์ความงามของมาดามอีกแล้ว  ผมขอโทษผมสร่างเมาแล้ว  มาดามมาคุยกับผมเถอะ  มาปรากฏตัวให้ผมเห็นที  ผมจะไม่ทำอะไรให้

มาดามเจ็บช้ำน้ำใจอีกแล้ว  ผมสาบ๊านนน”

          แน่ล่ะ...มาดามไม่เคยกลับมาปรากฏตัวให้เขาได้เห็นอีก  ไม่ว่าธีรัตม์จะพยายามอ้อนวอนแค่ไหน  หรือแม้แต่ภายหลังเขาบินกลับไปพักที่นั่นใหม่เป็นอาทิตย์ กินเหล้าเมาแค่ไหนเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่มีวี่แววของวิญญาณแม่ม่ายสาวเจ้าของโรงแรมอีกเลย

          ธีรัตม์เสียใจจะเป็นจะตาย  โอกาสครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตผ่านเข้ามา 

และความง่วงกับเหล้าก็ทำให้มันผ่านออกไปอย่างน่าเสียดาย  ถ้ามีการพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นทีไร  ชายหนุ่มจะเกิดอาการอยากตีอกชกหัวตัวเองขึ้นหนนั้น

          เขาไม่รู้เลยว่า  ขณะที่ตัวเองคร่ำครวญเสียดายโอกาสจะเป็นจะตาย  บรรดาสจ๊วตหนุ่มรุ่นน้องที่ตามหลังมาก็คร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวแทบตายเหมือนกัน  เพราะไม่รู้ทำไมจู่ ๆ มาดามก็เฮี้ยนหนัก  คราวนี้จะเปิดไฟปิดไฟหรือเปิดน้ำไม่เปิดน้ำ  มาดามไม่สนแล้ว  ขอให้เป็น สจ๊วตหนุ่มผมดำหน้าตาดี  มาดามถีบตกเตียงทุกราย  บางรายแถมตบปากซ้ำให้ด้วย

          ลูกเรือหนุ่ม ๆ ถึงกับโอดครวญหวาดผวา

          “มาดามไปแค้นอะไรมาเนี่ย”

          ไม่นานบริษัทสายการบินก็ต้องยกเลิกสัญญากับโรงแรมของมาดาม  อพยพไปหาที่พักใหม่ให้ลูกเรือ  จนทุกวันนี้บรรดาผู้บริหารก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม ‘มาดาม’ ถึงได้เล่นงานลูกเรือของเขาอยู่สายการบินเดียว...

 

          

view