ครั้งหนึ่งในชีวิตของธีรัตม์
ธีรัตม์เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่มีความพิเศษสุด ทุกคนในครอบครัวของเขาล้วนแต่มีพรสวรรค์พิเศษเหนือคนปกติธรรมดาทั่วไป พรสวรรค์นี้สืบทอดมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่สมัยต้นตระกูล
ปลั่ง...คุณปู่ของเขาเคยเล่าว่า ความพิเศษของครอบครัวนี้นั้นโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยศรีอยุธยา บรรพบุรุษหลายรับราชการด้วยการเป็นแม่ทัพใหญ่บ้าง โหรประจำราชสำนักบ้าง สุดแล้วแต่ใครจะมีพรสวรรค์ในด้านไหน แต่น่าเสียดายที่ช่วงหนึ่งสังคมมองว่าผู้ที่มีความพิเศษเหนือคนอื่นคือพวกเล่นคุณไสย หรือเป็นพวกหมอผีไม่น่าไว้ใจ บรรพบุรุษของพวกเขาจึงต้องหลบซ่อนพลังนั้นไว้
สมาชิกส่วนใหญ่หลายคนมองว่าการมีสัมผัสพิเศษคือเรื่องต้องคำสาป โดยเฉพาะพวกที่สามารถอ่านใจผู้คนได้บางครั้งถึงกับเป็นบ้ารับไม่ได้กับการที่ต้องรู้ว่า คนที่รักใคร่หรือผู้ใกล้ชิดไม่ได้มีความจริงใจหรือรักใคร่เขาตอบแม้แต่น้อย
สมาชิกตระกูลคนหนึ่งก็ปากเบาไปกล่าวถึงอดีตและทักทายอนาคตของผู้มีอำนาจในแง่ไม่งามนัก
สุดท้ายทั้งครอบครัวต้องหนีภัยอำนาจหัวซุกหัวซุน
คนในสายตระกูลส่วนใหญ่จึงเริ่มรังเกียจพลังอำนาจของตัวเอง ส่วนใหญ่เริ่มหาทางกดหรือทำลายสิ่งที่อยู่ในสายเลือดตัวเองเสีย หลายรายเลือกคู่ครองที่เป็นคนธรรมดาอย่างที่สุดด้วยความหวังว่า สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นคำสาปจะไม่ต้องตกทอดไปยังลูกหลาน
แต่พรสวรรค์ยังคงแอบแฝงอยู่ในสายเลือดมาตลอด และโชคดีที่มันมาปรากฏขึ้นกับคุณปู่ของเขาผู้ซึ่งไม่เห็นว่าพรสวรรค์เหล่านั้นเป็นเรื่องโชคร้าย
“แค่ปิดมันไว้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ” ปู่ปลั่งบอกอย่างอารมณ์ดี
ปู่เป็นคนเดียวในตระกูลที่พยายามสรรหาภรรยาที่มีความเหมือนกับตัวเองมากที่สุด และก็สมใจได้แต่งงานกับสตรีที่มีพรสวรรค์ยากจะหาใครเทียบ
โชคไม่ดีที่ปู่มีทายาทเพียงคนเดียวคือพ่อของเขา
พ่อดำเนินรอยตามปู่ ดังนั้นกว่าจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมเจออายุอานามพ่อก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว ส่วนแม่นั้นสามสิบเศษ โชคยังดีที่พ่อและแม่เขาสามารถมีทายาทสืบทอดสัมผัสพิเศษได้ถึงสามคน แต่โชคร้ายที่ลูกชายคนที่สามของพ่อได้ส่วนแบ่งทางสายเลือดมานิดเดียว
ธีรัตม์ไม่เคยมีสังหรณ์แม่นยำและเอ่ยถึงอนาคตได้อย่างแจ่มชัดเหมือนพี่ชายคนโต
เขาไม่เคยปราดเปรื่อง และมีอำนาจในการขยับข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อย่างพี่ชายคน
รอง
ธีรัตม์ได้แต่พยากรณ์อากาศไปวัน ๆ ว่าวันนี้จะมีฝน วันนี้จะมีแดด แถมยังเป็นการพยากรณ์แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย
ชายหนุ่มมั่นใจว่าปัญหาอาจจะเป็นเพราะเขาเกิดทีหลังพี่ชายทั้งสองร่วมสิบห้าปี พ่อกับแม่จึงให้พรสวรรค์พี่ชายไปหมด เหลือทิ้งให้ลูกหลงอย่างเขานิดเดียวเท่านั้น
เขามักจะบ่นน้อยใจเรื่องนี้เสมอ แต่พ่อกับแม่และพี่ชายสองคนไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ทั้งหมดเชื่อว่าพรสวรรค์ของเขาก็ต้องมีอะไรพิเศษในอนาคต ส่วนตอนนี้ก็ต้องถือว่าสัมผัสพิเศษเขาดีเหมือนกันเพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเป็นหวัด ไม่เคยเป็นลมแดดหรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วยตามฤดูกาสเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
เด็กชายธีรัตม์วันนั้นกระทั่งเป็นชายหนุ่มวันนี้กลับค้อนขวับ คิดว่ามันเป็นปมด้อยใหญ่โต เขาเชื่อว่าพรสวรรค์อันน้อยนิดทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าที่ควร
เขาไม่เคยทำงานอะไรสำเร็จหรืออยู่ได้นานเกินหนึ่งปีหกเดือน เป็นคนหยิบโหย่งล้มเหลวตลอดในขณะที่พี่ชายทั้งสองเป็นที่เชิดหน้าชูตาของครอบครัวและวงสังคม
เขาไม่เก่งเหมือนพี่ชายทั้งสองคน
เมื่อพี่ชายทั้งสองคนแต่งงาน และเริ่มมีหลาน ๆ ให้เขา ความสามารถพิเศษของหลาน ๆ ก็ยังโดดเด่นกว่าเขาทั้งหมด
ว่าไปแล้วในบรรดาหลานทั้งหมดทั้งหลานจริงและหลานบุญธรรม ธีรัตม์อิจฉานิทธันต์ที่สุด
บอกตามตรงเขาไม่อยากจำอะไรได้แม่นอย่างนิจฉรา เพราะสมองคนเรามีแค่นี้จะไปจำอะไรมากนักหนาไปทำไม อีกอย่างการรู้ว่าใครพูดจริงใครพูดโกหกก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร
รู้ ๆ อยู่ว่าคนส่วนใหญ่โกหกอยู่แล้ว นี่ถ้าเขามีพรสวรรค์เหมือนหลานสาวคนโตแล้วเกิดจับพลัดจับผลูได้ดิบได้ดีไปนั่งอยู่ในสภาหินอ่อนของประเทศ มีหวังเขาได้ลงนอนดิ้นพราด ๆ ชักดิ้นชักงอเพราะเสียง ‘โกหก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ’ ก้องเต็มสองรูหูแน่ สู้ไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่า
ส่วนนัทชานั้นรู้ว่าใครเจ็บป่วยใครจะตายจากกลิ่น โหย...ขืนมาได้กลิ่นอะไรประหลาด ๆ แบบนี้ทุกวี่ทุกวัน เขาคงได้ตายก่อนใครเพื่อนแน่ ไม่เอาล่ะ
สุดท้ายก็อริสา หลานคนเล็กที่แสนจะสดใสร่าเริง ตอนเล็ก ๆ หล่อนคุยกับสัตว์น้อยใหญ่ได้ แต่ถามหน่อยเถอะ ใครจะไปอยากรู้ว่าหมามันคุยอะไรกัน อย่างมากก็คงคุยอวดกันว่าวันนี้ใครกัดหมัดได้มากกว่ากัน หรือวันนี้งับหางตัวเองได้กี่รอบแล้ว เรื่องพวกนี้เขาจะอยากรู้ไปทำไม รู้ไปแล้วทำอะไรได้มิทราบ พรสวรรค์อีกอย่างของน้องเล็กที่แสนจะไม่เข้าท่าคือทำให้คนรอบข้างรู้สึกมีความสุข
พิลึกตายล่ะ ทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วตัวเองล่ะ ถ้าจะเลือกเขาเลือกดึงความสุขให้ตัวเองดีกว่าทำให้คนอื่นมีความสุข
ดังนั้นพรสวรรค์หรือสัมผัสพิเศษของนิทธันต์จึงเป็นอย่างเดียวที่ชายหนุ่มโหยหามากที่สุด ธีรัตม์มีวิญญาณของความผจญภัยในตัวสูง เขาอยากรู้อยากเห็น อยากสัมผัสถึงอีกฟากของโลก
แห่งชีวิต อยากรู้สึกถึงอาการหนาวเยือกที่ไต่ขึ้นมาตามสันหลัง ขนที่ลุกชันขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ
อยากเห็นอะไรที่ทำให้หัวใจสูบฉีดแรง หรือรู้สึกเป็นคนพิเศษที่สามารถมองเห็นและสื่อสารกับสิ่งที่คนอื่นหวาดหวั่น
ใช่ เขาไม่กลัวผี ชายหนุ่มเรียกร้องหามันด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยมีผีตัวไหนปรากฏตัวให้เขาเห็นเลย
ไม่เคยเลยยกเว้นครั้งหนึ่งในชีวิต ครั้งเดียวที่เขาไม่มีวันลืม ครั้งเดียวที่สร้างความเจ็บใจให้เขาเหลือแสนขนาดว่าคิดขึ้นมาทีไรก็อยากจะเอาหัวโขกกำแพงทีนั้น (แต่ไม่ทำเพราะมันเจ็บตัว)
ตอนนั้นเขายังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ทำงานเป็นสจ๊วตสายการบินชั้นนำของประเทศ ทำงานมาหนึ่งปีห้าเดือนยี่สิบวันเรียกว่านานที่สุดเท่าที่เคยทำมา แต่เช่นเคยเขาบินไปบินมาจนชักเริ่มเบื่อและยื่นใบลาออกไว้เรียบร้อยแล้ว เที่ยวบินสุดท้ายของชายหนุ่มคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โรงแรมที่สายการบินทำสัญญาให้ลูกเรือพักเป็นโรงแรมขนาดเล็ก เก่าแก่แต่สะดวกสบายกลางใจเมือง
เจ้าของและผู้ก่อตั้งโรงแรมคนแรกเมื่อประมาณแปดสิบปีก่อนเป็นแม่ม่าย ชื่อโรซาลีนน์หรืออะไรสักอย่างธีรัตม์ก็จำไม่ได้แล้ว รู้เพียงแต่ว่าพนักงานและแขกที่มาพักจะเรียกเธออย่างเคารพแกมหวั่นว่า มาดาม
ในโรงแรมมีภาพของมาดามในห้องล็อบบี้ หญิงม่ายวัยประมาณห้าสิบแต่งตัวในยุคสมัยนั้น คือเสื้อผ้ารุ่มร่ามสีน้ำเงินเข้ม ประดับประดาไปด้วยลูกไม้และดอกไม้ ใบหน้าของมาดามที่ไม่ได้สวยเด่นเป็นพิเศษอะไรแสดงออกถึงความเป็นคนดุ เด็ดเดี่ยว ไม่ยิ้มแย้ม ดวงตาจ้องออกมาเหมือนจะจับตามองผู้คนที่ผ่านเข้าออกโรงแรมของหล่อน
และเหมือนกับชาวสวิตที่ดี มาดามขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเป็นคนมัธยัสต์ มีเสียงเล่าลือปากต่อปากในหมู่พนักงาน แขกและบรรดาลูกเรือที่มาพักว่า มาดามนั้นเกลียดพวกไม่รู้จักประหยัดเป็นที่สุด ถ้าใครเข้าพักแล้วเกิดลืมเปิดน้ำหรือเปิดไฟทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น มักจะเจอ
มาดามมาเตือนอย่างเฉียบขาดเสมอ มีทั้งดึงผ้าห่มออก เห็นเป็นรูปเป็นร่าง หรือแม้แต่ไฟปิด
เองโดยไม่มีใครไปยุ่งกับสวิตซ์
ธีรัตม์เคยมาพักที่นี่แล้วสามสี่ครั้ง ครั้งแรกที่ได้ยินกิตติศัพท์มาดามเขาก็หมายมั่นปั้นมือเต็มที่ ถึงขนาดเปิดไฟไว้ก่อนนอน แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาไฟถูกปิดเรียบร้อยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาก็ได้แต่บ่น
“แค่เนี้ยนะมาดาม เฮ้อ...พยายามมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง”
เขาลองพยายามอีกครั้งแต่ผลเหมือนเดิม เลยถอดใจ ไปครั้งหลัง ๆ ก็ปิดไฟนอนตามปกติโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กระทั่งเที่ยวบินสุดท้าย พอเช็คอินเข้าโรงแรมเรียบร้อย เพื่อนแอร์และสจ๊วตก็มาดึงตัว
เขาไปเลี้ยงอำลากันในผับแถว ๆ นั้น ธีรัตม์ทั้งดื่มทั้งเต้นจนแทบจะเรียกได้ว่าหมดสภาพ ชายหนุ่มเปะปะกลับมาที่ห้อง เหนื่อยจากทั้งการทำงานและการเลี้ยงอำลาจนไม่มีปัญญาลากสังขารเข้าห้องน้ำ เขาแค่เปิดห้อง เปิดไฟ ถอดรองเท้า ขึ้นเตียงแล้วหลับไปในทันที
มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนใกล้สว่าง เขาพลิกตัวตะแคงอีกด้านเพราะเผลอนอนทับแขนตัวเองจนชา ขณะที่พยายามขยับตัวให้สบายชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือใบหน้าขาวซีด แตกลายงากับดวงตาที่ถลึงมองเขาอย่างดุเดือด
มาดามมานอนหนุนหมอนข้าง ๆ เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ชายหนุ่มพยายามคิด...คิดอะไรวะ...คิดไม่ออก...
เขาเลยหาวหวอดหนึ่ง ความง่วงและมึน ๆ แอลกอฮอล์ทำให้ทำได้แต่เพียงทักเป็นภาษาอังกฤษอันงดงามว่า
“ฮัลโหล มาดาม”
มาดามถลึงตาตอบ ไม่แม้แต่จะเซย์ฮัลโหล
เขาง่วง ตาจะปิดลงอีกครั้งแล้ว แต่ยังฝืนลืมขึ้นด้วยความเป็นห่วง...แถมตอนนั้นเขากำลังจะออกจากงานไปทำธุรกิจขายตรงเครื่องสำอางบำรุงผิว จากที่ได้รับการอบรมมาจึงต้องเตือนว่า
“มาดามหน้าซีดไปหน่อยนะครับ ผิวก็แห้งแตก ก่อนนอนอย่าลืมหาครีมทาหนาดี ๆ ทา ผมรู้ว่ามาดามขี้เหนียว แต่เรื่องความสวยความงามถือว่าสำคัญสำหรับผู้หญิงนะครับ เหนียวแล้วหน้าเหี่ยวย่นต้องเป็นม่ายค้างเติ่งอยู่อย่างนี้จะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะครับ”
ชายหนุ่มฝืนไม่ไหว ตาปิด กรนคร่อกเลยด้วยซ้ำ
เช้านั้นบรรดาพนักงานและแขกข้าง ๆ ห้องธีรัตม์ตกอกตกใจกับเสียงกรีดร้องของชายหนุ่ม เสมียนข้างล่างถึงกับทำเครื่องหมายกางเขนก่อนจะรีบรุดไปดูแขกที่คาดว่าคงขวัญผวา
สุดขีดกับการเยี่ยมเยือนของมาดาม
ที่ไหนได้...แขกดังกล่าวกลับกำลังตีอกชกหัวฟูมฟายด้วยความเสียดาย เขาอ้อนวอนว่า
“มาดามครับกลับมาหาผมเถอะ ผมจะไม่วิจารณ์ความงามของมาดามอีกแล้ว ผมขอโทษผมสร่างเมาแล้ว มาดามมาคุยกับผมเถอะ มาปรากฏตัวให้ผมเห็นที ผมจะไม่ทำอะไรให้
มาดามเจ็บช้ำน้ำใจอีกแล้ว ผมสาบ๊านนน”
แน่ล่ะ...มาดามไม่เคยกลับมาปรากฏตัวให้เขาได้เห็นอีก ไม่ว่าธีรัตม์จะพยายามอ้อนวอนแค่ไหน หรือแม้แต่ภายหลังเขาบินกลับไปพักที่นั่นใหม่เป็นอาทิตย์ กินเหล้าเมาแค่ไหนเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่มีวี่แววของวิญญาณแม่ม่ายสาวเจ้าของโรงแรมอีกเลย
ธีรัตม์เสียใจจะเป็นจะตาย โอกาสครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตผ่านเข้ามา
และความง่วงกับเหล้าก็ทำให้มันผ่านออกไปอย่างน่าเสียดาย ถ้ามีการพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นทีไร ชายหนุ่มจะเกิดอาการอยากตีอกชกหัวตัวเองขึ้นหนนั้น
เขาไม่รู้เลยว่า ขณะที่ตัวเองคร่ำครวญเสียดายโอกาสจะเป็นจะตาย บรรดาสจ๊วตหนุ่มรุ่นน้องที่ตามหลังมาก็คร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวแทบตายเหมือนกัน เพราะไม่รู้ทำไมจู่ ๆ มาดามก็เฮี้ยนหนัก คราวนี้จะเปิดไฟปิดไฟหรือเปิดน้ำไม่เปิดน้ำ มาดามไม่สนแล้ว ขอให้เป็น สจ๊วตหนุ่มผมดำหน้าตาดี มาดามถีบตกเตียงทุกราย บางรายแถมตบปากซ้ำให้ด้วย
ลูกเรือหนุ่ม ๆ ถึงกับโอดครวญหวาดผวา
“มาดามไปแค้นอะไรมาเนี่ย”
ไม่นานบริษัทสายการบินก็ต้องยกเลิกสัญญากับโรงแรมของมาดาม อพยพไปหาที่พักใหม่ให้ลูกเรือ จนทุกวันนี้บรรดาผู้บริหารก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม ‘มาดาม’ ถึงได้เล่นงานลูกเรือของเขาอยู่สายการบินเดียว...