Read for fun by สำนักพิมพ์ลูกองุ่น
สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ตรีเนตรทิพย์ บทที่ 2

        บทที่ 2

 

        สมัยที่ทิพย์อาภาเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนการออกแบบใหม่ ๆ นั้น  ครูผู้สอนได้ทำการปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ที่มาจากหัวเมืองย่อยรอบนอกนวหิมพานต์  บทเรียนแรกที่นักเรียนต้องรู้คือถ้าถูกจี้อย่าขัดขืน  ให้ยอมมอบทรัพย์สินมีค่าแก่โจรไปโดยดีเพราะการต่อสู้นั้นผลที่ได้ไม่คุ้มเสีย

          “เงินทองของนอกกายล้วนหามาใหม่ได้  แต่ชีวิตหรือสุขภาพที่จะเสียไปจากการทำร้ายไม่อาจหามาทดแทนได้  จำไว้นะนักเรียน  ถ้าเกิดถูกจี้ถูกปล้น  ทุกคนต้องตั้งสติให้ดี  อย่าพูดอะไรกับคนร้าย  ส่งกระเป๋าเงินให้แสดงให้ทางนั้นรู้ว่าเรายินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง  แล้วหาทางออกจากสถานที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด  ก่อนไปแจ้งความ”

          ตลอดสองปีที่ใช้เล่าเรียนและอีกสามปีกว่าที่พยายามดิ้นรนต่อสู้สู่ความเป็นนักออกแบบเสื้อชั้นนำ  ทิพย์อาภาค่อนข้างภูมิใจที่หล่อนไม่เคยเผชิญหน้ากับการจี้ปล้นใด ๆ เลย  หญิงสาวเชื่อว่าหล่อนมีสังหรณ์ที่ดีทำให้หลบเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจต่าง ๆ ได้

          แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่วันนี้  ไม่ใช่วันที่หล่อนทำพลาดตั้งแต่แรกด้วยการปล่อยให้งานที่ตั้งใจทำมานานล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่า  แล้วนี่ยังมาเจอนักจี้คนแรกที่พบในรอบห้าปีที่อยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้อีก

          อันที่จริงนักออกแบบสาวควรจะทำตามคำสอนที่ได้รับการแนะนำมา  แต่วันนี้หล่อนเหนื่อย  เซ็งและไม่มีอารมณ์จะเสียเงินที่มีอยู่น้อยนิด  หญิงสาวจึงละเมิดกฏที่ได้รับการสอนมาด้วยการเอ่ยว่า

          “มาจี้วันอื่นได้ไหม  วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ถูกจี้เลยจริง ๆ ให้ตายชักสิ”

        ดวงตาหรี่ปรือของหัวขโมยเบิ่งขึ้นเล็กน้อย  ก่อนปรากฏรอยยิ้มพึงใจ  ทิพย์อาภารู้สึกอึดอัดขึ้นมากับรอยยิ้มนั้น  หล่อนไม่ควร...ไม่ควรไปต่อรองอะไรกับเขาเลยจริง ๆ

          “เธอไม่มีอารมณ์หรือน้องสาว  แต่ฉันชักมีแล้วสิ  และเวลาที่สิงหลมีอารมณ์  สาว ๆ ไม่ควรขัดใจ  โดยเฉพาะสาวสวย ๆ อย่างเธอ”

          กลิ่นหอมเอียนแบบมะม่วงสุกของเขารุนแรงขึ้น  เหมือนกลิ่นนั้นซึมออกมาตามผิวหนังของเขา  ออกมาจากปากเวลาที่เขาพูด  ฉุนจัดจนหญิงสาวเหม็นจนอยากอาเจียน

          “ก็ได้ ๆ  ฉันมีเงินอยู่สองสามอัฐ  จะเอาไปก็เอาไป”

          “อะไรมีแค่นั้นเองหรือ”  สุ้มเสียงของอีกฝ่ายมีแววผิดหวัง  “สวย ๆ อย่างเธอนึกว่าจะมีสักสองสามเฟื้อง”

          ทิพย์อาภาแค่นเสียงหัวเราะออกมา 

          “สองสามเฟื้อง  ถ้ามีเงินมากขนาดนั้นฉันไม่มาเดินข้างถนนแบบนี้หรอก  เอ้า...เอาเงินไปฉันให้หมดกระเป๋าเลยเห็นไหม”  หญิงสาวกวาดเงินในกระเป๋าทั้งหมดยื่นให้  เหลือเพียงเศษเบี้ยไม่กี่อันเท่านั้น

          ท่าทางนายสิงหลอะไรนี่จะผิดหวังอย่างจริง ๆ จัง ๆ  และทิพย์อาภานึกสมน้ำหน้าเขาอยู่ในใจ จนกระทั่งชายขี้ยาแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนสั่ง

          “ถอดสร้อยข้อมือเธอมาด้วย”

          หญิงสาวชะงัก

          “สร้อยลูกปัดไม่มีค่าอะไร”

          “ถ้าไม่มีค่าแล้วหวงทำไม” 

          “เพราะแม่ฉันให้ไว้  นายเอาเงินแล้วรีบไปหาข้าวกินหรือซื้อยาของนายดีกว่า”  หล่อนพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดจากับเขาอย่างมีเหตุผล

          “ของเก่า  น่าจะได้ราคา  เอามา”

          “เอาแค่เงินพอแล้ว” 

          ทิพย์อาภาจะชักมือกลับแต่ไม่ทันแล้ว  มือที่ผอมเกร็ง  เล็บดำสกปรกตระครุบที่ข้อมือของหล่อน  เขากระชากสร้อยหล่อนดึงมือกลับพอดี  สายหนังที่มีอายุงานร่วมสิบหกปีขาดผึงออก  ลูกปัดแก้วแปดเม็ดร่วงกราวลงสู่พื้นคอนกรีตสกปรก

          

หญิงสาวโกรธจนเห็นทุกอย่างขาวพร่างไปหมดเมื่อได้ยินเสียงลูกปัดกระทบพื้นกราวใหญ่  โกรธ...จนรู้สึกร้อนผ่าวที่กลางหน้าผาก  ริมฝีปากแยกแสยะรู้สึกแสบร้อนบริเวณเหงือกไปหมด  หล่อนเงยหน้าขึ้นมองโจรกระจอกก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

          “แกไม่ควรจะยุ่งกับสร้อยของฉัน!”

          สิงหลผงะ  แม้ไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางจะไม่สว่างนัก  แต่ร่างของหญิงสาวตรงหน้าเหมือนมีแสงเรืองรองเจิดจ้าขึ้น  เขามองหน้าหล่อนและอุทานเสียงหลง  อาการเมายาคล้ายจะหดหายไปกว่าขึ้น

          “นะ...นี่มันอะไรกันเนี่ย  มะ...ไม่เอาแล้ว”

          จากนั้นก็หันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

          ทิพย์อาภายังยืนกำเงินในมือแน่น  อะไรบางอย่างเหมือนพุ่งออกจากร่างของหล่อนหลังจากถูกกักขังมาเนิ่นนาน  บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปเหมือนมีคลื่นความร้อนแผ่กระจายไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว  ตามด้วยเสียงป๊อบของหลอดไฟจากเสาไฟฟ้าระเบิดออก  รถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านไปก่อนกระจกรถจะสั่นกราวแล้วแตกออก  เสียงคนขับรถร้องว่า

          “เฮ้ย  เกิดอะไรขึ้น”  จากนั้นก็เป็นเสียงเบรกอย่างแรง

          และอาจจะเสียงรถที่จอดอย่างกะทันหันทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัว  หล่อนจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้  พลังงานของหล่อนที่กระจายออกไปจะเป็นเหมือนสปอตไลท์ส่องตรงมายังหล่อน  และสิ่งตามหลังมาคือความยุ่งยาก  ผู้คนจะล้มตายเหมือนคนในหมู่บ้านคันธมาทน์

          ลูกคงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกใช่ไหมฟ้า  หล่อนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงมารดาเตือนขึ้นในหัว  ถ้าไม่อยากให้คนอื่นต้องตาย  เพื่อนของหนูต้องจากไปแบบนี้  หนูต้องระวังตัวให้ดีอย่าให้ใครรู้ว่าหนูเป็นอะไร จำไว้ว่าไม่มีอะไรได้มาโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน  พลังของหนูก็เหมือนกัน  อย่าให้พวกอสูรหรือแม้แต่พวกเทพจับหนูได้  เข้าใจไหมฟ้า  ตอบแม่มาสิว่าหนูเข้าใจ    

          “ค่ะแม่  ฟ้าเข้าใจ  ฟ้าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”  หญิงสาวพึมพำ  ความร้อนที่แผ่ออกจากตัวเริ่มลดระดับลงอย่างรวดเร็ว  หล่อนยัดเงินในมือกลับสู่กระเป๋าก่อนก้มลงเพื่อหาลูกปัดแก้วที่หล่นกระจาย 

          ตอนนี้ถนนมืดหมดแล้ว  แต่เมื่อไม่มีสร้อยข้อมือที่กดอำนาจหล่อนไว้  การมองหาลูกปัดเป็นเรื่องง่ายเหมือนการเก็บก้อนหินในตอนเที่ยงตรง  ทว่าเมื่อได้เม็ดที่เจ็ดอยู่ในมือ  ความมืดก็เข้ามาครอบคลุม  สายตาหล่อนเกือบจะเหมือนสายตามนุษย์อีกครั้ง 

          “บ้าจริง  มันไปอยู่ไหนนะ  เม็ดที่แปด...เม็ดที่แปด”

        “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”  เจ้าของรถที่อยู่ ๆ วิ่งมาเสียตรงถนนข้างหล่อนตะโกนถามขึ้น  เขาไม่กล้าออกจากรถเพราะไม่ไว้ใจหล่อนเหมือนกับไม่ไว้ใจสิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้น  “ผมโทร.เรียกตำรวจแล้ว  เขาบอกว่าจะส่งเจ้าหน้าที่อสูรมาในห้านาทีนี้แหละ  ไวชะมัดเลยจริงไหม”

          ทิพย์อาภาตัวแข็งทื่อก่อนตัดสินใจทันที  พรุ่งนี้หล่อนค่อยกลับมาหาลูกปัดที่หายไปก็ได้  ลูกปัดแก้วเก่า ๆ ที่คมแวววาวลบเลือนไปไม่น้อยคงไม่ดึงดูดความสนใจของใคร  หรือไม่ลูกปัดที่เหลือเจ็ดเม็ดก็อาจทำหน้าที่ของมันต่อไปได้

          หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินแกมวิ่งออกจากตรงนั้นโดยไม่สนใจเสียงโหวกเหวกของเจ้าของรถ

          หล่อนไม่ได้ตรงกลับห้องพักเลย  แต่วนอ้อมถนนแถวนั้นอยู่ครู่ก่อนวกกลับไปยังห้องชั้นเก้าที่หล่อนอาศัยอยู่  เมื่อเข้าห้องพักได้สิ่งแรกที่ทิพย์อาภาทำคือรื้อกล่องตัวอย่างด้ายแบบพิเศษออกมา  หล่อนใช้ไหมเงินที่ค่อนข้างเหนียวถักให้เป็นเส้นหนาเพื่อร้อยลูกปัดแก้วเป็นสร้อยอย่างรวดเร็ว

          ลูกปัดแก้วเหล่านี้ล้วนแต่มีอายุเก่าแก่  เป็นสมบัติที่ตกทอดในตระกูลหล่อนมานาน  แม่เคยเล่าว่าลูกปัดเหล่านี้ถูกนำออกมาจากป่าหิมพานต์ก่อนที่เทพและอสูรจะปิดประตูเหลื่อมมิติลง  คุณสมบัติของมันคือการกำราบพลังในตัวของลูกครึ่งอสูรที่มีแนวโน้มว่าจะมีพลังมากเกินกว่าที่พวกอสูรจริงๆ ต้องการ  สร้อยเส้นนี้ผ่านมือบรรพบุรุษของหญิงสาวมาหลายชั่วรุ่น  แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่สร้อยต้องพึ่งพาอำนาจในตัวมันมากเท่าตอนที่มันตกมาถึงมือหล่อน

          เมื่อร้อยสร้อยเสร็จ  ทิพย์อาภาเกือบจะสวมมันกลับเข้าที่ข้อมือข้างขวาตามความเคยชิน  แต่หล่อนกลับหยุดตัวเองไว้  วางสร้อยแล้วลุกเข้าห้องน้ำเพื่อมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจก

          นานแค่ไหนแล้วที่หล่อนไม่ได้เห็นภาพสะท้อนที่เป็นจริงของตัวเองในกระจก

          สิบหกปี

          หล่อนเกือบจะลืมไปแล้วว่าภายใต้ภาพลักษณ์ของหญิงสาวมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งยังมีผู้หญิงอีกคนแฝงตัวอยู่  ผู้หญิงที่ตอนนี้ก้าวออกและมองสบตาหล่อนในกระจก  แย้มยิ้ม  และกวักมือเรียกหาเหมือนจะหลอกล่อให้หล่อนยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

          ผู้หญิง...ที่งดงามจนทิพย์อาภาแทบจะอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง  ไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่มีใบหน้าเอิบอิ่มได้ขนาดนั้น  เรือนผมสีดำแต่เหมือนเคลือบด้วยทองแดงเงางาม  คิ้วโก่ง  ปากเต็มอิ่ม   

          ผู้หญิง...ที่ดวงตาข้างหนึ่งดำสนิทเหมือนราตรีที่มืดมนที่สุด  ในขณะที่ดวงตาอีกข้างเป็นสีเทาอมฟ้าสดใสราวกับท้องฟ้าที่มีเมฆหมอกคลุมเล็กน้อย 

          ผู้หญิง...ที่ไม่ใช่มนุษย์  ไม่ใช่อสูร  ไม่ใช่เทพ...

          แต่เป็นทุกอย่างรวมกัน

          ทิพย์อาภาแตะปลายนิ้วเบา ๆ ลงบนกระจกตรงหน้าเหมือนอยากจะสัมผัสหญิงสาวคนนั้น  แต่กระจกใต้ปลายนิ้วของหล่อนลั่นเปรี๊ยะก่อนแตกออกเหมือนระลอกคลื่นบนผิวน้ำยามโดนแรงกระทบของก้อนหิน

          และนั่นเป็นอีกครั้งที่ทำให้หล่อนได้สติ  ต้องรีบร้อนใส่สร้อยลงในข้อมือ  และทันทีที่สร้อยอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่  ภาพสะท้อนของหล่อนก็กลับกลายเป็นมนุษย์หน้าตาดีผู้มีดวงตาสีน้ำตาลและผมสีน้ำตาลเหมือนสีขนของกระรอกตามเดิม

          นักออกแบบสาวถอนใจยาวไม่รู้ว่าโล่งอกหรือเสียดายกันแน่

          หญิงสาวกลับเข้าไปในห้องพักด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน  พลังที่อยู่ในตัวเหมือนสัตว์ร้ายที่ได้ลิ้มรสอิสรภาพ  แม้เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ แต่ก็ทำให้จากที่เคยป่วนปั่นนาน ๆ ครั้งกลายเป็นหิวกระหายรุนแรง  แม่เคยบอกเหมือนกันว่าทุกอย่างเติบโตและพอกพูนตามอายุ 

แต่หล่อนไม่เคยถอดสร้อยออกจากข้อมือ  จึงไม่รู้ว่าสิบหกปีที่ผ่านมาสิ่งที่อยู่ในตัวของหล่อนเติบ

กล้าขึ้นถึงขนาดนี้  นี่ถ้าผู้ชายคนนั้น...สิงหลหรืออะไรสักอย่าง...ไม่รีบวิ่งหนีจากไป  บางทีหล่อนอาจจะเผลอทำอะไรรุนแรงไปโดยไม่รู้ตัว

          ทิพย์อาภาจุดธูปเพื่อพยายามทำสมาธิ  หล่อนอยากทำงานต่อ  ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย  เหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวคอยตะกุยตะกายจะออกมา

          อาจจะเป็นไปได้ที่ลูกปัดขาดไปหนึ่งเม็ดทำให้การสยบอำนาจของเผ่าพันธุ์อสูรในตัวหล่อนลดลง  ยังไงพรุ่งนี้หล่อนต้องกลับไปหาเม็ดสุดท้ายที่เหลือให้ได้

          หญิงสาวพยายามกำหนดลมหายใจตัวเองเพื่อปิดกั้นพลังที่ไม่ควรปรากฏออกมา  หล่อนอยากเปิดโทรทัศน์ดูข่าวเหมือนกัน  แต่คิดว่าแค่เหตุการณ์ผิดปกติเล็ก ๆ ในย่านเกือบเสื่อมโทรมของฝั่งตะวันตกคงไม่เป็นที่น่าสนใจอะไร

        และเมื่อใจคอสงบดีแล้ว  ทิพย์อาภาก็อาบน้ำแล้วเข้านอน  พยายามข่มตาให้หลับ  หญิงสาวเกือบจะเคลิ้มอย่างไม่มีความสุขนักเมื่อเสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้น  หล่อนต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการลุกจากเตียงแล้วตะกุยตะกายหาตัวต้นเสียงจากกระเป๋าใบใหญ่ 

          เบอร์ของมยุราปรากฏหรา  หญิงสาวมองควบคู่ไปกับเวลาบนเครื่อง  ห้าทุ่มห้าสิบนาที

          “โทษทีจ้ะนกยูง  ฉันมัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องงานเลยไม่ได้ไปสมทบกับเธอและคุณตรี  อย่าโกรธนะ...”

          “คุณฟ้า...”  เสียงของตรีพยัคฆ์ดังจากปลายสาย  น้ำเสียงเขาฟังแปลกไปอย่างมาก  “ผมเองตรีพยัคฆ์  มีเรื่อง...มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น  นกยูงถูกทำร้าย”

          “อะไรนะ”  ทิพย์อาภาไม่รู้ตัวเลยว่าหล่อนตะโกนออก  เสียงของหล่อนกระหึ่มเหมือนคำราม  “นกยูงเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

          “ผมไม่รู้  เธออยู่ในห้องผ่าตัด  เลือด...เลือดเต็มไปหมด  เดี๋ยว...พวกเขามาแล้ว...”

          “พวกไหน  แล้วนี่คุณอยู่ไหน  นกยูงอยู่ที่ไหน”  หญิงสาวถามเหมือนตวาด

          “โรงพยาบาลไกรลาสคีรี  ห้องผ่าตัด ผมต้องวางแล้ว  ถ้าไม่รบกวนคุณฟ้า...”

          “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” 

          นักออกแบบสาวใช้เวลาห้านาทีหลังจากวางสายคว้าเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนส์ในตู้มาสวม  ออกจากห้องก่อนวิ่งกลับเข้าที่เตียงนอนไปเพื่อดึงเงินสดก้อนสดท้ายที่ซ่อนไว้ในซิปพิเศษในปลอกหมอนมาติดตัวไว้  ก่อนจะกลับไปสู่ท้องถนน

          อากาศข้างนอกกลางดึกค่อนข้างเย็น  แต่หญิงสาวไม่รู้สึกรู้สา  ไม่รับรู้ทั้งความเย็นและบรรยากาศน่ากลัวโดยรอบ  หล่อนออกวิ่งผ่านจุดที่เผชิญหน้ากับสิงหลเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไปอย่างไม่ใส่ใจ  เอาแต่วิ่งตะบึงไปจนถึงย่านที่เต็มไปด้วยสถานให้ความบันเทิงและร้านอาหารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

          ทิพย์อาภาเรียกรถรับจ้างที่จอดรอผู้โดยสารแถวนั้นบอกให้ไปส่งที่โรงพยาบาล  เขาถามหล่อนว่า

          “จะไปตามถนนอ้อมทางฝั่งเหนือหรือว่าจะลอดอุโมงค์ครับคุณ  ดึกขนาดนี้รถคงไม่ติดแต่ถ้าไม่อ้อมก็คงเร็วกว่า”

          “ลอดอุโมงค์ไปเลยค่ะ  เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องค่าผ่านทางเอง”

          คนขับรถรับคำสั่ง  เขาเลือกเส้นทางลัดที่สุดโดยใช้อุโมงค์ลอดใต้ทะเลสาบอโนดาต  ฝ่ายวางผังเมืองของนวหิมพานต์ไม่ต้องการให้สร้างสะพานเชื่อมสี่ฝั่งเข้าหากันเพราะไม่อยากทำลายทัศนียภาพที่งดงามของทะเลสาบ  ดังนั้นในปีห.ศ. 586 จึงมีการขุดอุโมงค์ทางเชื่อมหลายอุโมงค์ใต้ทะเลสาบ  มีทั้งอุโมงค์สำหรับรถยนต์  รถไฟ  และเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขุดสร้างและบำรุงรักษาอุโมงค์ค่อนข้างสูง  ค่าธรรมเนียมผ่านทางจึงสูงตามไปด้วย

          เมื่อผ่านด่านทิพย์อาภาส่งเงินในกระเป๋าของหล่อนให้เจ้าหน้าที่  แต่ฝ่ายนั้นมองหล่อนด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนทักว่า

          “เงินคุณใช้ไม่ได้นะ  อัฐพวกนี้เหมือนถูกไฟไหม้มาเลย  คุณเอาไปแลกอัฐใหม่ที่ธนาคารได้  แต่เอามาใช้ทั่วไปไม่ได้”

          “ตายจริง  ขอโทษค่ะ  ฉันไม่ทันมอง”  หญิงสาวรับเงินที่ตรงกลางมีรอยเกรียมจนดำอย่างน่ากลัวคืนมา  แล้วหยิบเงินใหม่ที่หล่อนเพิ่งดึงจากที่ซ่อนในปลอกหมอนส่งให้แทน

          สิบห้านาทีหลังจากนั้นทิพย์อาภาก็มายืนอยู่ตรงหน้าอาคารผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลไกรลาสคีรี  หล่อนส่งเงิน...แน่ละ...ต้องเงินที่ไม่มีรอยไหม้ให้คนขับรถแท็กซี่พร้อมเงินสินน้ำใจอีกมากพอสมควรสำหรับการที่เขาเหยียบมาเต็มที่

          ส่งเงินให้คนขับเสร็จ  หญิงสาวหมุนตัวกลับมามองตัวอาคารแล้วต้องชะงักไปเล็กน้อย  เพราะบริเวณหน้าอาคารมีรถสีดำคันใหญ่จอดอยู่สองคัน  คนขับรถซึ่งเป็นมนุษย์เชื้อสายอสูรสองคน  กับองค์รักษ์รักษาความปลอดภัยอีกสองยืนมองคนที่ผ่านเข้าออกอาคารเป็นตาเดียว  ซึ่งในที่นี้ก็ไม่มีใครนอกจากหล่อนคนเดียว

          ทิพย์อาภาต้องข่มใจอย่างมากให้เดินผ่านชายทั้งสี่เข้าไปในตัวอาคารโดยไม่แสดงอาการหวาดหวั่น  หญิงสาวแจ้งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์กะดึกที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นเล็กน้อยว่าหล่อนเป็นเพื่อนสนิทกับมยุรา  คนเจ็บฉุกเฉินที่เพิ่งถูกส่งตัวเข้ามารับการรักษา

          เจ้าหน้าที่หนุ่มมองหล่อนด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนบอกชั้นและเส้นทางให้

          ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลอยู่ชั้นสี่  ห้องเดินทางที่นำหล่อนขึ้นไปมีขนาดใหญ่พอที่จะเข็นเตียงคนเจ็บเข้ามาพร้อมกันสามเตียงได้อย่างสบาย ๆ  แต่การทำงานของห้องกลับเงียบและลื่นไหลอย่างมีประสิทธิภาพ

          เมื่อประตูห้องเดินทางเปิดออกอีกครั้ง  ทิพย์อาภารู้สึกถึงความแตกต่างจากชั้นล่างของตัวอาคารได้ทันที  ชั้นสี่หน้าห้องผ่าตัดนี้พลุกพล่านเต็มไปด้วยผู้คน  มีทั้งเจ้าหน้าที่พยาบาลและบรรดาชายในชุดสีดำเสมือนเป็นเครื่องแบบของเหล่ากองทัพอสูร 

          ตรีพยัคฆ์นั้นจัดว่าเป็นคนตัวใหญ่  แต่เมื่อห้อมล้อมด้วยกลุ่มลูกครึ่งและอสูรพันธุ์แท้เขาก็จมหายไปในกลุ่มคน  หญิงสาวต้องกวาดตามองอยู่ครู่ก่อนจะเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหนึ่งของห้องโถง  เขาสวมเสื้อสีเทาเข้มแต่ตอนนี้มีเสื้อเกือบครึ่งตัวเปื้อนไปด้วยเลือด  แขนข้างซ้ายมีผ้าพันหนาเตอะ 

          ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน  นักออกแบบสาวลืมความกลัวที่จะเข้าใกล้อสูร  รีบเดินแกมวิ่งตรงไปหาตรีพยัคฆ์  ถามออกไปก่อนจะถึงตัวว่า

          “คุณตรี  นกยูงเป็นยังไงบ้าง”

          ตรีพยัคฆ์หันมามองหล่อนพร้อม ๆ กับชายอีกสามคนที่ยืนล้อมรอบเขาอยู่

          แม้จะห่วงเพื่อนอย่างไร  แต่ทิพย์อาภาก็อดสะดุดจนหยุดเดินและลืมการหายใจไปชั่วขณะ  ดูเหมือนทุกคนที่อยู่รอบข้างเลือนหายไปราวกับกลายเป็นภาพวาดร่างจาง ๆ ของจิตรกรฝีมือดี  เหลือไว้เพียงผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตรีพยัคฆ์และกำลังหันมามอง  แม้รุทรจะเป็นผู้ที่เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างยิ่ง  แต่หญิงสาวยังเคยเห็นเขาหลายครั้งทั้งจากหน้าจอโทรทัศน์และตามข่าวในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ

          มันคงเลี่ยงยากถ้าคุณเป็นบรอสูร  เป็นผู้นำของเหล่าบรรดาอสูรทั้งหมด  อสูรเลือดบริสุทธิ์ผู้เปรียบเสมือนราชันของเผ่าพันธุ์  หนึ่งในสองของผู้กุมอำนาจสูงสุดของนวหิมพานต์

          แต่ภาพที่เคยเห็นผ่านสื่อนั้นไม่เหมือนตัวจริงที่ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อน  ภาพข่าวที่ถ่ายจากไกล ๆ ไม่เคยสามารถจับดวงตาที่ดำสนิทเสียยิ่งกว่าดำของเขาได้  แต่ท่ามกลางความดำนั้นคือเส้นลายตาสีเงินแปลกตา  เรือนผมของเขาดำเหมือนสีดวงตา  ดำยิ่งกว่าท้องฟ้าในคืนที่ไร้ทั้งพระจันทร์และดวงดาว  ผมเขาหยักศกเป็นคลื่นงดงาม  แต่เจ้าตัวมักรวบไปด้านหลังด้วยเชือกหนังสีเงิน  หนัง...ที่หล่อนไม่รู้และอาจจะไม่มีวันรู้ว่าทำมาจากสัตว์ชนิดไหน 

          คิ้วเขาหนาโก่งได้รูป  ปากบาง  กลางหน้าผากคือสัญลักษณ์ของผู้นำเผ่าพันธุ์  ปานสีดำลวดลายคล้ายลายกนกที่เหมือนนูนขึ้นมาเล็กน้อยทรงมาคีย์ 

          บรอสูรคือความสมบูรณ์แบบ

          ดูเหมือนจะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ที่ชายคนหนึ่งจะงดงามได้ถึงขนาดนี้  ผู้หญิง...ไม่ว่าคนไหนคงดูด้อยไปเหมือนหญิงขี้เหร่เมื่อมายืนเทียบกับเขา

ระหว่างที่ทิพย์อาภายืนนิ่งเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด  รุทรก็คลี่ยิ้มออกช้า ๆ  เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า

          “ในที่สุดเธอก็มา  ทันเวลาพอดี”

          หญิงสาวเหมือนตื่นจากภวังค์  คำพูดของเขาซึมเข้าสู่ใจช้า ๆ

          “ทันเวลา...ทันเวลาอะไรคะ  หรือว่านกยูง...”  หล่อนสั่นด้วยความกลัวจนไม่กล้าเอ่ยสิ่งที่คิดในใจออกมา

          “เพื่อนเธอนะหรือ  ไม่  อาการผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรน่าห่วง  เธอยังอยู่ในห้องผ่าตัดและฉันเชื่อว่าเธอจะต้องปลอดภัย”

         

         

view